Mystery of Tea by The Coffee Bean & Tea Leaf ครั้งนี้เราจะมาไขความลับของชากัน workshop ครั้งนี้ทำให้นุทได้ข้อมูลของชามาเพียบเลย เลยอยากเอามาแบ่งปันให้เพื่อนๆที่ชื่นชอบชาได้รู็ถึงประเภท ลักษณะ จนถึงวิธีการชงชาให้ได้คุณค่าที่ดีที่สุด
เริ่มแรกเรามาทราบประวัติความเป็นมาของร้านกันก่อนคะ ประวัติคร่าวๆ ของ The Coffee Bean & Tea Leaf
ร้าน The Coffee Bean & Tea Leaf ถือกำเนิดเมื่อปี 1963 นับถึงปัจจุบันมีอายุประมาณ 52 ปีแล้ว เริ่มจากร้านกาแฟเล็กๆ ที่เน้นการชงแบบพิถีพิถัน และใส่ใจในทุกแก้วที่จะเสิร์ฟให้กับลูกค้า ซึ่งยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์นี้มาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อทราบถึงประวัติของร้านกันคร่าวๆแล้ว คราวนี้มาถึงเรื่องราวการกำเนิดของชากันบ้างดีกว่าคะ
ว่ากันว่าชาถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อประมาณ 4,000 กว่าปีมาแล้ว โดยจักรพรรดิ์เสินหนง ตำนานเล่าไว้ว่าพระองค์กำลังต้มน้ำดื่มอยู่ในสวน ขณะนั้นเกิดลมพัดโบกกิ่งไม้ เป็นเหตุให้ใบไม้ร่วงหล่นลงมาใส่ถ้วยน้ำร้อนนั้น พระองค์ทดลองชิมแล้วก็เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา จึงได้พัฒนาตัวใบไม้นี้ จนรู้จักกันทั่วๆ ไป เรียกว่าใบชา นับตั้งแต่นั้นมา ชาเขียวก็ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เป็นลำดับจนถึงปัจจุบันนี้ โดยถือได้ว่า จีนเป็นประเทศแรก ที่เริ่มนำชามาทำเป็นเครื่องดื่ม จากนั้นความนิยมในการดื่มน้ำชา ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วโลก ทั้งในทวีปอเมริกา ยุโรป เอเชีย และในบางประเทศของทวีปแอฟริกา
ที่ The Coffee Bean & Tea Leaf ได้ให้ความสำคัญกับชาไม่น้อยไปกว่ากาแฟ โดยพิถีพิถันตั้งแต่ Seed To cup ซึ่งหมายถึง ตั้งแต่การปลูก จนมาถึงเป็นแก้วเสิร์ฟให้กับลูกค้า The Coffee Bean & Tea Leaf มีความสัมพันธ์ที่ดีกับไร่ชาในแหล่งปลูกชาที่ดีที่สุดจากทั่วโลก เช่น ศรีลังกา ญี่ปุ่น อินเดีย เคนย่า จีน รวมทั้งประเทศไทย ด้วยความสัมพันธ์อันดีที่บ่มเพาะมานานกว่า 50 ปี ทำให้ได้สิทธิ์คัดเลือกใบชาที่ดีที่สุดก่อนใคร และใบชาทุกใบจะเก็บด้วยมือ คัดสรรเฉพาะชาเกรดพิเศษคุณภาพเยี่ยม ที่เรียกว่า ยอดใบชาสองใบ และหนึ่งใบตูม (two leaves and a bud)
ทำไมต้องเป็นยอดใบชาสองใบและหนึ่งยอดตูมที่ผ่านการเก็บด้วยมือ ทั้งๆ ที่ยากและใช้เวลานาน และจะเก็บได้เพียงวันละ 10-15 ก.ก. ในขณะที่การเก็บที่ใช้กรรไกรตัดจะได้มากถึง 60-100 ก.ก. เหตุผลเพราะการเก็บด้วยมือเราสามารถเลือกขนาดใบชา และเลือกเฉพาะ 1 ยอดตูม กับ 2 ใบอ่อน ที่ถือว่าเป็นส่วนที่ดีที่สุดของใบชา เพราะอุดมไปด้วยสาร polyphenols ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ส่งผลต่อสี กลิ่น และรสชาติของชา สารนี้จะมีอยู่มากเฉพาะตรงยอดชาเท่านั้น (สารนี้เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มีคุณสมบัติการยับยั้ง catechol-O-methyl transferase จึงช่วยกระตุ้นการสร้างความร้อนของร่างกาย ร่างกายจึงเผาผลาญไขมันแทนที่จะสะสมไขมัน และช่วยการจัดการกับความอ้วนได้) ต้นชาจะผลิตยอดชาใหม่โดยใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน
กว่าที่ชาแต่ละแก้วจะออกมาเป็นเครื่องดื่มที่สมบูรณ์ได้นั้น ต้องเริ่มตั้งแต่
1. ขั้นตอนการปลูก
2. การเก็บใบชา ซึ่งชาของ The Coffee Bean & Tea Leaf จแน้น 2 ใบอ่อนกับ 1 ยอดตูม และเก็บด้วยมือเท่านั้น
3. การผึ่งชา หรือ Withering เป็นขั้นตอนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและเกิดปฏิกิริยาทางเคมีของสารต่างๆ ในใบชา การผึ่งชาจะทำให้น้ำในใบชาระเหยออกไป ใบชาจะเหี่ยว และมีการซึมผ่านของสารต่างๆ ภายในและภายนอกเซลล์ ที่จะทำให้ชามีสี กลิ่น และรสชาติที่แตกต่างกันออกไป
4. การนวดชา หรือ Rolling เป็นขั้นตอนการใช้น้ำหนักกดทับลงไปบนใบชา ด้วยการขยี้ใบชาเพื่อให้เซลล์แตก เมื่อเซลล์แตกจะทำให้สารประกอบต่างๆ ที่อยู่ในเซลล์ไหลออกมานอกเซลล์ และเคลือบอยู่บนส่วนต่างๆ ของใบชา
5. การหมักชา หรือ Fermentation เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่การผึ่งชา และนวดชา ก่อนะถึงขั้นตอนการคั่วชาหรือนึ่งชา กระบวนการนี้ พิลิฟีนอลออกซิเดส จะเร่งปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ทำให้ได้สารประกอบเชิงซ้อนที่มีโมเลกุลใหญ่ขึ้น ทำให้ชาเกิดกลิ่น สี และรสชาติที่แตกต่างกันออกไปตามองค์ประกอบทางเคมีที่อยู่ในชา และตามกรรมวิธีการผลิต
6. การอบแห้ง หรือ Drying เป็นขั้นตอนการอบแห้งเพื่อลดความชื้นในใบชา ให้สามารถเก็บใบชาไว้ได้นาน
7. การบรรจุ หรือ Sorting and Packing ซึ่งจะทำหลังการอบแห้ง โดยจะมีการคัดเลือกเศษกิ่งก้านของชาและสิ่งปนเปื้อนต่างๆ ออกจากใบชา แล้วนำมาบรรจุถุงเพื่อรอการจำหน่ายต่อไป
นอกจากเรา จะใส่ใจในขั้นตอนการผลิตแล้ว การ blend ชาแต่ละรสชาติ เราให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ที่ The Coffee Bean & Tea Leaf เรามี Tea Master หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้านชา ที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี ในการ blend ชาแต่ละรสชาติ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคิดชาออกมาแต่ละรส ต้องใช้เวลาร่วมปีกว่าจะได้มาเป็นใบชาพร้อมชงที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงนี้
ชามี 3 ชนิด แต่ละชนิดก็จะมีความเข้มข้นที่แตกต่างกันออกไป
1. ชาเขียว เป็นชาที่ไม่ผ่านการหมัก ไม่มีขั้นตอนการหมักใบชาสด ระหว่างกระบวนการผลิตการนำยอดชาสดมาทำให้แห้ง จะใช้วิธีให้ความร้อนเพื่อหยุดยั่งการสลายตัวของยอดชา โดยการแปรรูปชา หยุดกระบวนการทางเคมีในใบชาด้วยการอบไอน้ำ หรือคั่วในกะทะร้อนๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ ชาเขียวนิยมดื่มกันมากในจีนและญี่ปุ่น เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรงกว่าวิตามินซี และวิตามินอี เป็นสารต้านมะเร็งและต่อต้านเชื้อ Botulinus และเชื้อ Staphylococus ช่วยเผาผลาญไขมัน ลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ ยับยั้งการพัฒนาของเซลล์มะเร็ง ช่วยควบคุมการทำงานของสมอง และลดความดันโลหิต ช่วยป้องกันฟันผุ บรรเทาอาการเหงือกอักเสบ มีการศึกษาพบว่า การดื่มชาเขียววันละ 1 ถ้วย จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจได้ประมาณ 10% ทั้งนี้ ชาเขียวมีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่าชาดำ คือ 25 มิลลิกรัมต่อชา 1 ถ้วย
2. ชาอูหลง เป็นชาที่มีกระบวนการบ่มใบชาสั้นกว่าชาดำ ทำให้รสชาติที่ได้ดีกว่า ชาอูหลง 1 ถ้วยมีปริมาณคาเฟอีนประมาณ 30 มิลลิกรัม หลายคนเชื่อว่าชาชนิดนี้จะช่วยลดน้ำหนัก เพราะสารในชาอูหลงจะช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ในการย่อยไขมันในกลุ่มไตรกลีเซอร์ไรด์ มีการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มชาอูหลงจะมีอัตราการเผาผลาญพลังงานได้เร็วกว่าผู้หญิงที่ดื่มน้ำเปล่าเล็กน้อย สารคาเฟอีนในชาอูหลง จะช่วยกระตุ้นสมอง เพิ่มสมาธิ เพิ่มอัตราการเผาผลาญ ช่วยระบบหมุนเวียนโลหิต สารไทอะนีน เป็นกรดอะมิโนที่ทำให้ชามีรสกลมกล่อม ช่วยควบคุมการทำงานของสมองและลดความดันโลหิต การดื่มชาอูหลงยังช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันโรคหัวใจ ลดไตรกลีเซอไรด์ และระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยย่อยอาหาร บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย ลดการดูดซึมของน้ำตาลและไขมันเข้าสู่กระแสเลือดหากรับประทานพร้อมมื้ออาหาร
3. ชาดำ หรือชาที่ผ่านการหมัก เป็นชาที่นิยมดื่มกันทั่วโลก โดยเฉพาะแถบยุโรป คนไทยจึงมักเรียกชาดำว่าชาฝรั่งหรือชาผง เพราะมีลักษณะเป็นผง แต่ชาวจีนเรียกชาแดง ตามลักษณะสีน้ำชาที่ออกมาเป็นสีอมส้ม หรือสีน้ำตาลแดง ชาชนิดนี้จะมีรสชาติขมเล็กน้อย และมีปริมาณคาเฟอีนมากที่สุดในบรรดาชาด้วยกัน คือ 40 มิลลิกรัมต่อถ้วย การดื่มชาดำเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ดียิ่งขึ้น เพราะชาสามารถลดคอเลสเตอรอลได้ 4% และลดไขมันได้ถึง 8% นอกจากนี้ยังช่วยต้านการอักเสบ การติดเชื้อ ป้องกันฟันผุ ช่วยระงับกลิ่นปาก และทำให้ลมหายใจสดชื่นขึ้น ช่วยเพิ่มมวลกระดูก คลายเครียด และเพิ่มความจำ ป้องกันโรคเบาหวาน ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น มีการศึกษาพบว่า คนที่ดื่มชาดำประมาณ 3 ถ้วยต่อวันจะมีโอกาสเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันลดลงถึง 21%
เคล็ดลับในการดื่มชาให้ได้รสชาติที่ดีเยี่ยม
1. การเก็บรักษา ชาก็เหมือนกาแฟ ศัตรูสำคัญคืออากาศ ความร้อน ความชื้น และแสง ดังนั้นเราควรเก็บชาในโถสูญญากาศใหมิดชิด
2. Loose Tea คือลักษณะใบชาแต่ละชนิดที่เรานำมาชง เช่น Whole Leaf, BOP, OP เป็นต้น
3. น้ำที่นำมาชง ต้องเป็นน้ำสะอาดและน้ำร้อน โดยมากเริ่มตั้งแต่ 80-100 องศาเซลเซียส ชาแต่ประเภทจะมีเวลาในการแช่ชา (Sleeping Time) ดังนี้
– ชาเขียว 3 นาที
– ชาดำ 5 นาที
– ชา Herbal & Infusion 7 นาที
4. สัดส่วนคือปริมาณของชาที่ใช้ในการชงแต่ละครั้ง โดยปกติถ้าเป็น Sachet ของ The Coffee Bean & Tea Leaf จะมีขนาด 3-3.5 กรัม แช่ผ่านน้ำร้อนได้ 10 ออนซ์
สำหรับชาของ The Coffee Bean & Tea Leaf จัดได้ว่าเป็นชาพรีเมี่ยม ซึ่งวันนี้ทุกๆ ท่านได้ชิมชาแบบ Signature Original ไปแล้ว แต่เรายังมีมากกว่านั้น คือ Tea Latte ซึ่งเหมาะมากสำหรับลูกค้าที่ชอบเครื่องดื่มชาสไตล์ลาเต้ก็มีให้เลือก เพราะ Tea Latte ของเราใช้วิธีการสกัดน้ำชาเข้มข้นเหมือนกับการสกัดช็อตเอสเพรสโซ่ และที่สำคัญชาที่วางตรงหน้า ทุกท่านสามารถเลือกชาแล้วชงทานเป็นชาเย็นได้ เรามีสูตรแนะนำให้ รวมไปถึงการทำชาผลไม้ทานง่ายๆ ด้วยคุณเองที่บ้านถ้าคุณมีชาของเรา เดอะคอฟฟี่บีนส์แอนด์ทีลีฟ
และวันนี้ทุกๆ ท่านก็จะมีโอกาสได้ชิมเค้กชนิดหนึ่งที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับมากในญี่ปุ่น นั่นคือ Sweet Potato Cake แนะนำทุกท่านทานคู่กับชาที่มีในมือ รับรองว่าอร่อยมากๆ อร่อยมากจริงๆคะ แนะนำ
สุดท้ายนี้ ขอบคุณ The Coffee Bean & Tea Leaf ที่ชวนนุทมาร่วมกิจกรรมดีๆได้รับความรู้เรื่องชาอย่างลึกซึ้งมากๆ เพื่อนๆที่อยากลิ้มลองรสชาติของชาแบบต่างๆ แวะไปที่ร้าน The Coffee Bean & Tea Leaf ได้ทุกสาขานะคะ